วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551








ชั่วโมงเซียน"ป๋องสุพรรณ"

"ไม่มีแผ่นดินของจังหวัดใด ที่จะพบพระเครื่องมากกรุเท่ากับเมืองสุพรรณบุรีนี้ได้เลย"
เป็นคำกล่าวขานของจังหวัดสุพรรณบุรีและในจำนวนพระกรุที่พบหลายสิบกรุนั้น มีอยู่ ๓ กรุที่วงการพระพูดกันอยู่เสมอๆ ซึ่งอาจจะเรียกว่า "อมตะยอดนิยม พระเครื่องมืองสุพรรณฯ" คือ ๑.พระผงสุพรรณกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอ.เมือง ๒.พระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่างและ ๓.พระถ้ำเสือกรุวัดเขาถ้ำเสือกรุวัดเขาพระ กรุวัดเขาดีสลัก โดยแต่ละกรุนั้นมีความโดดเด่นทั้งพุทธศิลปและพุทธคุณ ที่น่าสนใจดังนี้

๑.พระผงสุพรรณกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอ.เมือง นับเป็นพระเครื่องเลื่องชื่อ ถูกบรรจุอยู่ในชุดเบญจภาคี ซึ่งมีทั้งเนื้อดินและเนื้อชินเงิน ที่เรียกว่าพระผงสุพรรณยอดโถ แต่สาเหตุที่เรียกว่า ผงสุพรรณ ก็เนื่องจากการค้นพบจารึกลานทองกล่าวถึงการสร้างจากผงว่านเกสรดอกไม้อันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้รับการเรียกขานกันว่าพระผงสุพรรณ เรื่อยมา ขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณ เมตตามหานิยมแคล้วคลาดภัยภิบัติ คงกระพัน โชคลาภ และความมีอำนาจ ค่านิยมหลักล้านขึ้น
จารึกลานทองที่ค้นพบกล่าวถึงการสร้างพระผงสุพรรณไว้ความว่า ศุภมัสดุ ๑๒๕๖ สิทธิการิยะ แสดงบอกไว้ให้รู้ว่าฤาษีทั้งสี่ตน พระฤาษีพิมพิลาไลย์เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์มีสุวรรณ เป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้มีศรัทธาพระฤาษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแด่ว่าน ทั้งหลาย พระฤาษีจึงอัญเชิญเทวดามาช่วยกันทำพิธีเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่งแดง สถานหนึ่งดำ ให้เอาว่านเป็นผงก้อน พิมพ์ด้วยลายนิ้วมือของมหาเถระปิยะทัสสะสิ ศรีสารีบุตร คือ เป็นใหญ่เป็นประธานในที่นั้น ได้เอาแร่ต่างๆมีอนุภาพต่างกัน เสกด้วยมนต์คาถาครบ 3 เดือนแล้วท่านให้เอาไปประดิษฐ์ไว้ในสถูปแห่งหนึ่งที่เมืองพันทูม
ถ้าผู้ใดพบเห็นให้รับเอาไว้สักการบูชาเป็นของวิเศษแม้จะมีอันตรายประการใดก็ดี ให้อาราธนาผูกไว้ที่คออาจคุ้มครองภยันตรายได้ทั้งปวง เอาพระลงสรงนํ้ามันหอม แล้วนั่งบริกรรม พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๑๐๘ จบ พาหุง ๑๓ จบใส่ขันสัมฤทธิ์ นั่งอธิษฐานเอาความปรารถนาเถิด ให้ทาทั้งหน้าและผม คอ หน้าอก ถ้าจะใช้ทางเมตตา ให้มีสง่า เจรจาให้คนทั้งหลายเชื่อฟัง ยําเกรง ให้เอาพระไว้ในนํ้ามันหอม เสกด้วยคาถานวหรคุณ ๑๓ จบ พาหุง ๑๓ จบ พระพุทธคุณ ๑๓ จบ ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนทําพิธีในวันเสาร์ นํ้ามันหอมเก็บไว้ใช้ได้เสมอ ทาริมฝีปาก หน้าผาก และผม ถ้าผู้ใดพบพระตามที่กล่าวนี้ พระว่านก็ดี พระเกสรก็ดี ทําด้วยแร่สังฆวานรก็ดี อย่าประมาทเลย อานุภาพพระทั้ง ๓ อย่างนี้ดุจกําแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถาทเยสันตาจนจบ พระ พุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณจนจบ พาหุงไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีก กะเตสิกเก กะระฌัง มหาไชยังมังคะสัง นะมะพะทะ ประสิทธิ แลฯ

๒.พระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่างต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ ขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยมคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และความมีอำนาจ ค่านิยมอยู่ในหลักแสนกลางๆ(สภาพต้องสวยสมบูรณ์) พระขุนแผน เป็นพระกรุเนื้อดินจัดได้ว่าเป็นพระขนาดใหญ่ของพระพิมพ์ขุนแผน เป็นพระปางประทับนั่งสมาธิ ประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีใบระกาประดับด้านบน โดยในวงการพระเครื่องให้ความนิยมสูงมากในบรรดาพระเครื่องเนื้อดินด้วยกัน และที่สำคัญยังมีความเชื่อด้วยว่าเป็นพระเครื่องที่น่าจะสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถที่ได้สู้รบกับพม่า เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด เมื่อเสร็จศึกก็ร่วมกันสร้างพระฉลองชัยชนะ และอุทิศส่วนกุศลให้ทหารหาญ ผู้สูญเสียชีวิตในสมรภูมิ
พระขุนแผน วัดบ้านกร่าง ประกอบด้วยพิมพ์มากมายหลายพิมพ์ที่ถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ หลังวิหารเก่าในวัดบ้านกร่าง ต่อมาเมื่อมีการบูรณะเจดีย์จึงได้นำพระจำนวนมากเหล่านี้มากองสุมไว้ที่โคนต้นโพธิ์ใกล้กับพระวิหาร และอีกส่วนหนึ่งได้กองไว้ในพระวิหารจนสูงท่วมฐานชุกชี จึงเป็นจุดที่ทำให้พระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่างนี้ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชน เมื่อกาลเวลาผ่านมาได้มีผู้นำพระขุนแผน อาราธนาติดตัว จนมีประสบการณ์ทั้งทางด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด โดยเฉพาะประสบการณ์ทางด้านเมตตามหานิยม จนพระเครื่องกรุวัดบ้านกร่างชุดนี้ถูกขนานนามว่า พระขุนแผน
๓.พระถ้ำเสือแตกกรุครั้งแรกที่วัดเขาถ้ำเสืออ.อู่ทองจ.สุพรรณบุรีในราวปี ๒๔๘๗ คนหาขี้ค้างคาวไปพบและนำออกมาจากถ้ำ ต่อมาก่อน ๒๕ พุทธศตวรรษ ก็พบอีกหลายกรุ เช่น กรุเขาพระ เขาดีสลัก เขาถเสือ เขากุฏิ และยังพบในเจดีย์วัดดอนพุทธา วัดเขาพระ วัดเขาวงพาทย์ วัดเขากำแพง เป็นต้น ขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณเด่น ด้านคงกระพันชาตรีแคล้วคลาดจากอันตราย และความมีอำนาจ ถ้าเป็นพระกรุเก่าค่านิยมอยู่ในหลักแสนต้นๆ
สันนนิษฐานว่าพระฤาษีสร้างขึ้นในสมัยกลางอยุธยา เพราะว่าฤาษีได้อาศัยถ้ำเพื่อบำเพ็ญภาวนาและจำศีลตามถ้ำ และฤาษีเป็นผู้ที่บวชอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้มีฌานสมาบัติอันแก่กล้า จึงได้สร้างพระไว้เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และได้แบ่งแยกเป็นพิมพ์ต่างๆอีกหลายพิมพ์ เช่น มีศิลปะเฉพาะตัวไม่เหมือนศิลปะอื่นใด แลคล้ายตุ๊กตาเสียกบาล เท่าที่พบจะเป็นเนื้อดินเผา ความหนาแน่นเนื้อพระจะคล้าย พระขุนแผน กรุวัดพระรูป ไม่มีเม็ดทราย ถึงจะมีในบางองค์ ก็เป็นจำนวนน้อย และถ้ามีก็จะเป็นเม็ดทรายขาว พระถ้ำเสือส่วนใหญ่แล้ว จะมีเนื้อสีแดงคล้ายสีกระเบื้อง ในบางองค์อาจเป็นสีแดงเข้ม แต่จะมีความแห้งผากเลยทีเดียว เพราะอายุในการสร้างได้ผ่านมานานนับร้อยปี จึงทำให้มีความแห้ง แบบธรรมชาติ และอมความเก่าไว้เป็นสำคัญ นอกจากจะเป็นพระที่เก่าแก่มีอายุสร้างมานาน และองค์พระขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับห้อยหรือพกพาสะดวก เพราะเป็นพระเล็กกำลังพอดี



ความสมบูรณ์ของตำราพิชัยสงครามฉบับรูปภาพ แบ่งเป็นสองมิติ คือ 1.สมบูรณ์ในเรื่องของการเก็บรักษา ความคมชัดของรูปภาพ 2.สมบูรณ์มากในเรื่องร่องรอยของการเคยถูกใช้งาน ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ค่อยจะเหลือร่องรอยพวกนี้ ที่ผ่านมาตำราพิชัยสงคราม ฉบับรูปภาพที่พบมี 4 ฉบับ แปลเรียบร้อยแล้วมี 3 ฉบับ อีกฉบับมีแค่เพียงเอ่ยถึงเท่านั้น แต่ยังไม่มีใครเห็น ตำราพิชัยสงครามประกอบด้วยตำราหลายๆ เล่ม เป็นศาสตร์แต่ละอย่างเพื่อรวบรวมไว้ใช้ในการทำสงคราม" นายปริญญากล่าว และว่า ตำราพิชัยสงครามเล่มนี้คือ ฉบับผังกองทัพ การจัดผังกำลังศึก และการจัดเข้ารูปในการตั้งทัพ ใช้ภาษาปัจจุบันคือ การบอกพิกัดทัพ ซึ่งถ้าศึกษาในเชิงลึกแล้วจะรู้กองทัพนี้ตั้งอยู่ที่ไหน
นายปริญญากล่าวว่า ตำราพิชัยสงครามฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับหลวง ไม่ใช่ฉบับที่คัดลอกทั่วไป ปัจจุบันฉบับคัดลอกทั่วไปที่อยู่ในมือของบุคคล เช่น ตำราพิชัยสงครามฉบับพัทลุง เป็นการคัดลอกมาอีกชั้นหนึ่ง อยู่ในตระกูลของเกจิอาจารย์ทั้งหลายแต่ยังไม่ชัดเจนและงดงามเท่านี้ จึงอยากเรียกตำราพิชัยสงครามฉบับนี้ในเบื้องต้นว่า ตำราพิชัยสงครามเมืองเพชรบูรณ์ฉบับพรหมบุญ เพื่อยกย่องและให้เกียรติแก่ตระกูลพรหมบุญ ที่เก็บรักษาตำราพิชัยสงครามเล่มนี้ไว้อย่างดี และได้นำมามอบให้ทางหอประวัติศาสตร์เพชรบูรณ์ เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้า



นายปริญญา สัญญะเดช นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธไทยโบราณและเจ้าของพิพิธภัณฑ์บ้านขุนศึก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ว่า ได้พบตำราพิชัยสงคราม ที่คาดว่าเป็นฉบับหลวง อายุประมาณ 200 ปี โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ร่วมประชุมกับนายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นางธีรพร พรพฤฒิพันธุ์ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ นายวิศัลย์ โฆษิตานนท์ อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ อ.เมืองเพชรบูรณ์ กรณีการพบตำราพิชัยสงครามล้ำค่า คาดอยู่ในช่วงยุคสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุเก่าแก่ราว 200 ปี ซึ่งนายมาวิณห์ พรหมบุญ นำมามอบให้ และได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ นายปริญญากล่าวว่า ตำราพิชัยสงครามที่พบมี 2 เล่ม เป็นฉบับรูปภาพ และฉบับตัวอักษร โดยฉบับรูปภาพมีความสมบูรณ์มาก ถือเป็นเล่มล่าสุดที่เพิ่งถูกค้นพบ รูปเล่มเป็นสมุดข่อยไทดำ หรือสมุดข่อยลงฝุ่นสีดำ ภาพเขียนด้วยสีฝุ่นชอล์ก ส่วนอักขระเป็นอักษรไทยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ลงสีหรดาร ส่วนฉบับตัวอักษรคาดว่าเป็นฉบับคัดลอกในภาย





เหล็กไหล...ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้า แล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล" จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้ 1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น 2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่างๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี 3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช 4. ปรอท หรือธาตุอื่นๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ ได้ ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า "เหล็กไหล" ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้ ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่... เกิดขึ้นมาได้อย่างไร... เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่...? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสบการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน "เหล็กไหล" ที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน
สีสันและคุณประโยชน์ 1. สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา 2. สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง 3. สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ 4. สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง 5. สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม 6. สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ 7. สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน 8. สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้ 9. สีดำเหมือนนิลเหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน 10. เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น








หลวงพ่อสืบ เกิดที่บ้านตลาดบน ต.ท่ากระจับ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2475 ในครอบครัวเกษตรกรรม บิดาชื่อ นายชาญ มารดาชื่อ นางเพียร สกุล "ยอดยง" เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดไทร จนจบชั้นประถมจึงเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเพิ่มวิทยา วัดกลางบางแก้ว เมือปีพ.ศ. 2492 จบชั้นมัธยมแล้วจึงสอบเข้าโรงเรียนพลตำรวจ จบการศึกษาจากโรงเรียนพลตำรวจำด้รับการเข้าบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ณ สถานีตำรวจลุมพินี กรุงเทพฯ รับราชการตำรวจอยู่ได้ 3 ปี เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงตัดสินใจลาออกเพื่ออุปสมบท เมื่อปีพ.ศ. 2497 ณ วัดท่าใน ต. ท่าพญา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยมี พระครูสิริวุฒาจารย์ (ห่วง สุวัณโณ ) วัดท่าใน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ ปิ่น วัดศรีษะทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการ ม้วน วัดไทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายา " ทานรโต " หลังจากอุปสมบทแล้วจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าในศึกษาธรรมและปฏิบัติรับใช้ " หลวงพ่อห่วง วัดท่าใน "
หลวงพ่อห่วง องค์นี้เป็นเกจิอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้ามากเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของชาวบ้าน เป็นสหธรรมกับ หลวงพ่อ เงิน วัดดอนยายหอม และ หลวงพ่อ น้อย วัดธรรมศาลา แม้แต่หลวงพ่อเงินเองก็ยังกล่าวยกย่องในความสามารถของหลวงพ่อห่วง ชาวบ้านแถวๆ ต.ท่าพญา นครชัยศรี เมื่อเดินทางไปขอวัตถุมงคลกับหลวงพ่อเงินมักจะออกปากว่า "คุณเลยของดีมาเสียแล้วหลวงพ่อห่วง วัดท่าใน นั่นแหละของดี ของจริง ไปเอาที่นั่นเถอะโยม " หลวงพ่อสืบ ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อห่วง วัดท่าใน ได้ 1 ปี ได้เรียนวิชาก้าวหน้าพอสมควร จิตใจเกิดรุ่มร้อน อยากจะลองวิชาที่รียนมาว่าเป็นอย่างไรกันแน่ อยู่ไม่ได้จึงตัดสินใจลาสิกขา นึกถึงคำพูดของเพื่อนว่า " เป็นลูกผู้ชายต้องเป็นทหารกล้า " จากนั้นบ่ายหน้าไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนนายสิบทหารม้ายานเกราะรุ่น 5 รุ่นเดียวกับ พ.ท.ทองสุข เก่งศิริ,พ.อ.นคร ธีระเนตร, พ.อ. ประสาน รักปทุม จบจากโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ได้รับยศสิบโท ไปสังกัดกองพันทหารม้ายานเกราะสระบุรี ใช้ชีวิตลูกผู้ชายคุ้มค่าโลดโผนโจนทยาน เข้าออกคุกทหารเป็นประจำจนเบื่อหน่ายเต็มที่หันหน้ากลับท้องทุ่งท่าพญา นครชัยศรีไปพบหลวงพ่อม้วนซึ่งสมัยบวชครั้งแรกเป็นคู่สวด ขณะนั้นเป็น" พระครูอินทรสิริชัย " ระบายความในใจว่าชีวิตฆราวาสมีแต่ทุกข์สับสนวุ่นวายกิเลสตัญหามากมาย แก่งแย่งชิงดีมีแต่อิจฉาริษยา ได้ไปทดลองท่องดินแดนฆราวาสมานานหลายปี รับรู้รสชาติหมดทุกอย่างมิใช่หนทางแห่งการสิ้นทุกข์ มีแต่ทุกข์เพิ่มขึ้นเหมือนอยู่ในวังวนแห่งกิเลส ปรึกษากับ " หลวงพ่อม้วน " แล้วจึงตัดสินใจออกบวชอีกครั้ง ครั้งนี้จะใช้ชีวิตบรรพชิตจนชีวิตจะหาไม่ จึงอุปสมบทในปี พ.ศ. 2514 โดยมี พระครูอินทสิริชัย ( ม้วน อินทสุวัณโณ ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการ ง้อ ปัญญาธโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า " ปริมุตโต " จำพรรษาอยู่วัดไทร ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมจนแตกฉาน สามารถสอบนักธรรมตรี-โท-เอก ได้โดยลำดับในปี พ.ศ. 2518 แล้วหันมาสนใจเวทวิทยาคม ระลึกถึงภูมิเก่าวิชาที่ได้รับมาจากหลวงพ่ดห่วง วัดท่าใน ทบทวนจนแม่นยำและศึกษาเพิ่มเติมจาก " หลวงพ่อม้วน " "หลวงพ่อม้วน" วัดไทร องค์นี้เป็นศิษย์พุทธคมของพระครูอุตรการบดีหรือหลวงพ่อสุข วัดห้วยจรเข้ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชามาจาก "หลวงปู่ นาค วัดห้วยจรเข้" ผู้สร้างพระปิดตาเนื้อเมฆพัด ได้ขลังโด่งดัง เป็นพระปิดตาอันดับหนึ่งของเมืองไทย หลวงพ่อม้วนเป็นศิษยืเอกของหลวงพ่อสุข หนึ่งในสาม อีกสององค์คือหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร และหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อม้น วัดไทร องค์นี้ขลัง ดังเงียบ วัตถุมงคลของท่านสร้างน้อย แจกยาก เลือกคนแจกไม่ได้ให้ง่ายๆ จึงไม่แพร่หลายแต่เหนียวเหลือเกิน " หลวงพ่อสืบ " ได้ศึกษาวิชามาจากหลวงพ่อม้วนอีกทางหนึ่ง เมื่อมารวมกับหลวงพ่อห่วง วัดท่าใน แล้วก็มีวิชามามากพอตัว จัดว่าท่านเป็นศิษย์สืบสายวิชามาจาก "หลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้" สหธรรมกับ "หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว" อัธยาศัยของหลวงพ่อสืบเป็นคนมีจิตใจนักเลงติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาส จึงมีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยว พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ผู้ที่มีจิตใจเช่นนี้ จึงทำของได้ขลังเพราะมีจิตกล้าแข็งเป็นหนึ่งเดียว ทำให้มีพลังเกิดขึ้นได้ แต่ก็ซ่อนเร้นเหมือน "เสือซ่อนเล็บ"หรือ "สิงห์สิงถ้ำ" ไม่เคยทำวัตถุมงคลใดๆให้ใครทั้งสิ้น พรรษานี้"หลวงพ่อสืบ" ท่านนึกขลังขึ้นมาอยากให้ชาวบ้านมาร่วมทำบูญพัฒนาวัดท่านจึงตัดสินใจสร้าง "ตะกรุดนวหรคุณ เกื้อหนุนชีวิต" ร้อยด้วยไหม" เบญจพรรณ "จารด้วยมือ ซุ่มสร้างซุ่มทำอยู่ตลอดพรรษาได้ตะกรุดชั้นเยี่ยมมากมายหลายดอก จนเป็นข่าวดังเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ท่านได้เห็นมาไม่นานนี้ ที่มาของ สมเด็จปืนเสีย และตระกรุดปืนเสีย !!!!เนื่องด้วยมีคนต้องการทดลองของขลังของหลวงพ่อสืบท่านจึงลองนำไปยิงด้วยปืนลูกโม่ ปรากฎว่าลูกโม่ถึงกับแตกกระสุนหลุดกระเด็นออกมา ปืนที่ใช้ก็ใหม่ๆ ไม่ใช่ปืนเก่าอะไร หลังจากนั้นผู้คนจึงได้ให้สมญานามท่านว่าหลวงพ่อสืบปืนเสีย และเรียก สมเด็จที่ท่านสร้างรวมทั้งตระกรุดว่า สมเด็จปืนเสีย และตระกรุดปืนเสีย จนหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และลานโพธิ์ได้นำเรื่องของท่านไปลง ทำให้ท่านมีชื่อเสียงขึ้นมา

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551


หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ ต.วังแดง อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา อยุธยา ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีพระเกจิอาจารย์เป็นที่เคารพและศรัทธาของสาธุชนทั่วไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ล้วนแต่มีวิชาอาคมแก่กล้า มีประสบการณ์ที่น่าเหลือเชื่ออยู่มากมาย ซึงผู้คนได้เล่าขานถึงประสบการณ์ต่างๆนานาจากยอดเกจิเมื่ออดีต อาทิ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค , หลวงพ่ออั๋น วัดพระญาติ, หลวงปู่สด วัดโพธิแพลงใต้ , หลวงปู่ดู่ วัดสะแก , หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ,หลวงเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา เป็นต้นซึ่งวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์ทุกท่านล้วนเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก และเสาะแสวงเพื่อหวังครอบครอง แต่ในปัจจุบันอยุธยาก็ยังมีพระเกจิที่น่าเลื่อมใส่และเก่งๆ สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย อย่างในปัจจุบัน พระเกจิอยุธยาที่เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ อาทิ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว , หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม , หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก , หลวงพ่อรวย วัดตะโก ,หลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง เป็นต้น แต่ก็มีเกจิอาจารย์อีกหลายรูปที่มีความสามารถและมีวิชาอาคม ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของบรรดาสาธุชนทั่วไป อย่างเช่น พระครูอดุลวิริยกิจ หรือหลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ ต.วังแดง อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา ท่านเป็นศิษย์สายของหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง จ.สระบุรี และผมก็ได้เคยแวะไปกราบท่านที่วัดแล้วเกิดศรัทธาในพระรูปนี้มากองค์หนึ่ง ท่านเป็นพระที่เก่งจริงและไม่ได้ดังเหมือนพระเชียร์หรือพระโปรโมททั่วไป แต่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์มากมายในหมู่ลูกศิษย์ ทั้งคนในพื้นที่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกทม. ที่แวะเวียนกันเข้าไปกราบท่านและเหมาบูชาวัตถุมงคลของท่านมาใช้ติดตัว และเก็บกันไว้ มีทั้งที่เป็นพระสงฆ์เหมารถมาเช่าพระท่าน และชาวสิงคโปร์ ผมว่าก็ไม่ธรรมดาแน่นอนครับ เพียงแต่ยังไม่มีคนรู้จักท่านเท่าไหร่ การเข้าไปกราบท่านก็ไม่วุ่นวายต้องคอยมีคนมานั้งจัดคิว ใครไปก็เข้าหาท่านได้ตลอดแม้ท่านจะไม่สบายท่านก็ยังรับแขกจนไม่ค่อยได้มีเวลาจำวัด หากพี่ๆท่านใดมีโอกาสไปที่อยุธยาแล้วผ่านไปแถว อ.ท่าเรือ อย่าลืมแวะไปกราบท่านนะครับ อีกสิ่งที่น่าประทับใจคือความเมตตาของท่านและรอยจารที่ท่านมักจะจารวัตถุมงคลของท่านเองทุกอย่างแบบเต็มที่แม้แต่รูปถ่ายของท่านๆก็จะจารด้วยตัวท่านเองเสมอแล้วปลุกเสกลงไปด้วย ส่วนเรื่องประสบการณ์ของวัตถุมงคลของท่านที่มีเยอะแยะมากมายไว้ว่างๆผมจะเอามาลงในกระทู้ให้พี่ๆทุกท่านได้ทราบ พร้อมทั้งภาพวัตถุมงคลของท่านในรุ่นต่างๆเท่าที่จะหามาได้นะครับ ผมว่ารีบเก็บวัตถุมงคลของท่านตอนนี้ไม่เสียใจแน่ เพราะคนที่รู้จักท่านเริ่มเยอะขึ้นแล้วต่างเดินทางไปเสอะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านมาครอบครอง ซึ่งตอนนี้ราคาก็ยังไม่แพงมาก ของที่วัดก็ยังมีอยู่แต่เริ่มน้อยลงแล้วนะครับเพราะท่านสร้างพระจำนวนไม่มาก แค่หลัก สิบ,ร้อยและพันเท่านั้นเอง แต่ก็มีบางรุ่นเช่นเหรียญบาตรน้ำมนต์ที่พึ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วเหรียญทองแดง เหรียญละ 400 สร้างจำนวนไม่เกินพัน ตอนนี้ที่วัดเช่าหากัน 1000 บาทขึ้นแล้ว จะว่าปั่นราคาก็ไม่น่าใช่เพราะคนรู้จักท่านน้อย คนที่จะตามเก็บก็มีแต่ในกลุ่มลูกศิษย์เท่านั้น ผมเองยังงงๆอยู่เลย ตอนแรกก็ไม่เชื่อแต่ไปที่วัดเองก็เลยรู้มากับตัวเอง เลยมานั่งเสียดายเก็บไว้แค่ 2 เหรียญเอง ว่างๆก็ลองแวะไปนะครับ
รวมสิริอายุ 75 ปี














































































วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551







หมากทุย ท่านเจ้าคุณเฒ่า พระภาวนาโกศลเถระ โดย หนุ่ม มรดกไทย( หน้า /1)
หมากทุย = เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ ผู้นิยมสะสมเครื่องรางของขลัง หมากทุยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุดเห็นจะได้แก่ หมากทุย" หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง " บางขุนเทียน ซึ่งท่านได้สร้างตามกรรมวิธี กล่าวคือ จะต้องใช้หมากทุยตายพรายทั้งทะลาย (ต้นหมากที่ยืนตายและทะลายยังติดอยู่กับต้น) เมื่อพบหมากทุยที่ต้องการแล้ว ก่อนขึ้นไปเก็บจะต้องบริกรรมพระคาถาตามขั้นตอน ของหลวงปู่ก่อน และเมื่อจะปีนต้องขึ้นต้นหมาก ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เมื่อเขยิบไปที่หนึ่งก็ให้บริกรรมพระคาถาบทหนึ่ง และเมื่อขึ้นไปถึงทะลายหมากแล้ว จะต้องเพ่งไปที่ผลหมากพร้อมกับบริกรรมพระเวทย์แล้วจึงใช้ปากคาบเอาผลหมากมาให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ เมื่อได้หมากทุยมาแล้ว ท่านจะทำการเอาเนื้อหมากข้างในออกให้หมดเสร็จแล้วก็ลงอักขระเลขยันต์ ตามตำราของท่านอันดี อยู่ว่า "นะปถมัง" เป็นหลักใหญ่ และประกอบด้วย หัวใจ พระรัตนตรัย คือ มะ อะ อุ และพระนามย่อพระเจ้าห้าพระองค์คือ " นะโมพุทธยะ " และหัวใจมหาอุตคือ " อุดทัง อัดโธ" ลงในกระดาษสาแล้วบรรจุลงไปในลูกหมากที่เตรียมไว้ แล้วอุดด้วยชันนางโรงใต้ดิน เมื่อปลุกเสกดีแล้วจะถือเป็นเครื่องรางชั้นดี " เรียกว่า หมากทุย วัดหนัง " ที่นักนิยมเครื่องรางของขลัง เสาะแสวงหามาครอบครองกัน มีสรรพคุณเด่นชัดในด้านทางอยู่ยงคงกระพัน ชาตรีชนิดที่ว่า " แมลงวันไม่กินเลือด " เลยแหละครับ


หลักการพิจารณาโดยสังเขป
1. ความเก่าของรัก ที่ลงบนเชือกที่ถักตัวหมกทุย ต้องแห้งตามธรรมชาติ เป็นดำมันเงา รักจะออกสีแดงลูกหว้าครับ
2. เชือกที่ถักตัวหมากทุย จะต้องเป็นเชือกปอ หรือเชือกป่านเท่านั้นครับ เพราะสมัยหลวงปู่เอี่ยม ยังไม่มีเชือกไนลอนเท่านั้นครับ เพราะสมัยหลวงปู่เอี่ยมยังไม่มีเชือกไนลอน หรือเชือกสังเคราะห์ครับ